ส่งออกไทย ครึ่งปีแรก ภายใต้กรอบ CBAM โตแกร่ง 29% สวนทางภาพรวมปี 2567 ที่หดตัว 5.68% เหล็กและเหล็กกล้า หัวหอกในการขับเคลื่อน
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการ สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่าท่ามกลางกระแสการค้าโลกที่มุ่งสู่ความยั่งยืน การส่งออกสินค้าไทยภายใต้มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism : CBAM) ของสหภาพยุโรป (อียู) ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-มิ.ย.2568) ด้วยมูลค่ารวม 203.63 ล้านเหรียญสหรัฐ เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 29.08% สวนทางกับภาพรวมปี 2567 ที่หดตัว 5.68%
“การส่งออกสินค้าไทย ภายใต้มาตรการ CBAM ในช่วง 6 เดือนพลิกกลับมาขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง เป็นสัญญาณบวกชี้ให้เห็นศักยภาพและความสามารถในการปรับตัวของผู้ประกอบการไทย ก่อนที่มาตรการ CBAM จะบังคับใช้เต็มรูปแบบวันที่ 1 ม.ค.2569 ครอบคลุม 6 กลุ่มสินค้า คือ เหล็กและเหล็กกล้า อะลูมิเนียมและของทำด้วยอะลูมิเนียม ซีเมนต์ ปุ๋ย ไฟฟ้า และไฮโดรเจน”
ไทยมีการส่งออกไปอียู เพียง 2 กลุ่มสินค้า คือ 1.เหล็กและเหล็กกล้า เป็นหัวหอกสำคัญขับเคลื่อนการเติบโต มูลค่าส่งออก 169.78 ล้านเหรียญสหรัฐ (สัดส่วน 83.38% ของการส่งออกสินค้า CBAM ทั้งหมดจากไทยไปอียู) ขยายตัวสูงถึง 40.36% สวนทางกับภาพรวมการส่งออกเหล็กและเหล็กกล้าของไทยไปตลาดโลกที่หดตัว 15.19% แสดงให้เห็นว่าสินค้าเหล็กของไทยมีความสามารถในการแข่งขันและเป็นที่ต้องการของตลาดอียู ที่ให้ความสำคัญกับมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม
2.อะลูมิเนียมและของทำด้วยอะลูมิเนียม มีมูลค่าส่งออก 33.85 ล้านเหรียญสหรัฐ (สัดส่วน 16.62% ของการส่งออกสินค้า CBAM ทั้งหมดจากไทยไปอียู) หดตัว 7.99% ซึ่งหดตัวต่อเนื่องจากปีก่อน สวนทางกับการส่งออกไปโลกที่ขยายตัว 17.24%
นายพูนพงษ์ กล่าวว่า มาตรการ CBAM เป็นกลไกสำคัญของนโยบาย “European Green Deal” ที่อียูตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจัง แม้การส่งออกสินค้าจากไทยไปอียูที่ขยายตัว ภายใต้กฎหมาย CBAM จะยังมีสัดส่วนไม่สูงเมื่อเทียบกับการส่งออกไปโลก (ประมาณ 4.74% ของมูลค่าการส่งออกสินค้า CBAM จากไทยไปโลก) แต่เป็นการเติบโตที่แข็งแกร่งถือเป็นสัญญาณเชิงบวก เป็นการยืนยันถึงโอกาสและศักยภาพของไทย ที่จะสามารถปรับตัวและส่งออกสินค้า CBAM ไปอียูได้มากขึ้นในอนาคต สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ไม่เพียงแต่จะช่วยรักษาตลาดยุโรปไว้ได้ แต่ยังเป็นการเปิดประตูสู่โอกาสทางการค้าในเวทีโลกยุคใหม่ที่ ‘ความยั่งยืน’ คือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2569 มาตรการ CBAM จะเข้าสู่ช่วงบังคับใช้เต็มรูปแบบ ซึ่งผู้นำเข้าจะต้องซื้อและส่งมอบ “CBAM Certificate” ตามปริมาณการปล่อยคาร์บอนของสินค้าที่นำเข้า ส่งผลให้ผู้ประกอบการไทย อาจต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นในการตรวจสอบข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดห่วงโซ่การผลิต ดังนั้น เพื่อเปลี่ยนความท้าทายเป็นโอกาสในการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน ผู้ประกอบการไทยควรศึกษาทำความเข้าใจหลักการของ CBAM และเตรียมความพร้อมในการคำนวณ และจัดทำข้อมูลปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสินค้า (Embedded Emission) ยกระดับการผลิต
โดยอาจลงทุนในเทคโนโลยีสะอาดหรือปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน แสวงหาการสนับสนุนจากภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ซึ่งพร้อมให้การสนับสนุนทั้งด้านองค์ความรู้ และด้านการเงิน ตลอดจนขยายตลาดเชิงรุก พัฒนาสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและเจาะตลาดใหม่ๆ ที่ให้ความสำคัญกับประเด็นด้านความยั่งยืน ไม่ใช่แค่ในอียู แต่รวมถึงสหราชอาณาจักร สหรัฐ และออสเตรเลีย ที่กำลังพิจารณาใช้มาตรการในลักษณะเดียวกัน